โครงงานคอมพิวเตอร์
เรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
information and communication technology
ของ
สต.นันทวัฒน์  บุญมา
โครงงานคอมพิวเตอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา CO4210 โครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจการศึกษาตาม หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต  สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
บริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
พุทธศักราช 2559 (ปีที่ลงทะเบียน CO4210)












โครงงานคอมพิวเตอร์
เรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
information and communication technology
ของ
สต.นันทวัฒน์  บุญมา
โครงงานคอมพิวเตอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา CO4210 โครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจการศึกษาตาม หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต  สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
บริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
พุทธศักราช 2559 (ปีที่ลงทะเบียน CO4210)









กิตติกรรมประกาศ
โครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจากอาจารย์นีรนุช เนื่องวัง อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก และอาจารย์อนันตพร วงศ์คำ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ที่ได้อนุเคราะห์ข้อเสนอแนะ ตลอดจนตรวจแก้ไขข้อพกพร่องด้วยความเอาใจใส่อย่างดี ผู้ทำโครงงานคอมพิวเตอร์รู้สึกซาบซึ้งและขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ขอกราบขอบพระคุณคณาจารย์ประจำหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจคณะบริหารธุริจและรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์นทุกท่าน ที่ได้ให้ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งให้การสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับผู้ทำโครงงานคอมพิวเตอร์
ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความถูกต้อง ความเที่ยงตรงด้านเนื้อหาของโปรแกรมและผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้เชี่ยวชาญพิจารณาให้ความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางพิจารณาสำหรับโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารครั้งนี้ ที่ได้กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความถูกต้องและความเที่ยงตรงในด้านเนื้อหา เพื่อโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจครั้งนี้
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์นีรนุช เนื่องวัง ที่ได้อำนวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจในครั้งนี้

                                                                              สต.นันทวัฒน์  บุญมา
                                                 วันที่ 31 เดือน พฤษภาคม พ.ศ2560








ชื่อเรื่อง                               :   เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ผู้ทำโครงงานคอมพิวเตอร์          :    สต.นันทวัฒน์  บุญมา
ปริญญา                             :    ปริญญาตรี
ที่ปรึกษา                             :    อาจารย์นีรนุช  เนื่องวัง
ที่ปรึกษาร่วม                        :   อาจารย์อนันตพร  วงศ์คำ
ปีที่สำเร็จการศึกษา                 :   2559
มหาวิทยาลัย                        :   เวสเทิร์น
โครงงานนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาหลักการทำงาน และบทบาทของคอมพิวเตอร์ที่ช่วยในการอำนวยความสะดวกในกิจกรรมต่างๆ และประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการทำงาน อภิปรายลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการทำงาน ความแม่นยำ และการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และเปรียบเทียบความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์และมีความเหมาะสมในการใช้งาน ศึกษา วิเคราะห์แนวทางการเลือกอาชีพโดยใช้กระบวนการตัดสินใจในการเลือกอาชีพที่เหมาะสม มีเจตคติที่ดีต่อการประกอบอาชีพที่เป็นการสร้างรายได้ จากการประกอบอาชีพที่สุจริตและเป็นที่ยอมรับของสังคม เห็นความสำคัญของการสร้างอาชีพและมีวิจารณญาณในการประกอบอาชีพ รักการทำงาน และมีเจตคติที่ดีต่อการทำงาน สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างพอเพียงและมีความสุข โดยใช้กระบวนการการทำงาน กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ และเห็นคุณค่าของเทคโนโลยี สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เห็นคุณค่าของการประกอบอาชีพ และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ



ABSTRACT

Title                                 :    information and communication technology
Researcher                        :    Nanthawat  boonma
Degree                             :    Bachelor’s degree
Thesis Advisors                  :    Teacher Neeranuch  Nuangwuang
Thesis Co-Advisors              :    Teacher Anantaporn Wongkham
Graduated Year                 :      2559
University                         :    Western University
This project was created to study the working principle. And the role of computers in facilitating activities. And the benefits of the computer as a tool to work. Discuss important aspects of information technology in the fields of work, precision and convenience in everyday life. And compare the importance of the impact of information technology. Use analytical thinking to process information into information. To be useful and suitable for use in the analysis of career choices using the appropriate career decision making process. Have a good attitude towards earning a career. From a career that is honest and socially acceptable. I see the importance of building a career and having a critique of career, love, work and a good attitude towards work. Can live happily and happily in society. Using the work process Practice Analytical thinking To gain knowledge, ideas, understanding and appreciation of technology. Can apply information technology to apply in everyday life. See the value of your career. And a good attitude towards the profession.




สารบัญ

                                                                                                       หน้า

กิตติกรรมประกาศ                                                                                    ก
บทคัดย่อภาษาไทย                                                                                   ข
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ                                                                               ข
สารบัญ                                                                                                ง
สารบัญตาราง                                                                                        ฉ
สารบัญภาพประกอบ                                                                                 ช
บทที่ 1 บทนำ                                                                                        1
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา                                                
          1.2 คำถามโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
          1.3 วัตถุประสงค์ของโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ                                           
          1.4 ขอบเขตของโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ              
          1.5 นิยามศัพท์
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น                                                                        
บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม                                                                     
          2.1 แนวคิดต่างๆ ที่ผู้ทำโครงงานคอมพิวเตอร์เลือกในโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจครั้งนี้  
               เกี่ยวกับระบบสารสนเทศ ฐานข้อมูล ระบบฐานข้อมูล นักเขียนโปรแกรม ขั้นตอนการ
               พัฒนาระบบฐานข้อมูล
          2.2 ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง                               
          2.3 กรอบแนวคิดของโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ                                          
บทที่ 3 วิธีดำเนินโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ                                                                           3.1 การออกแบบโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
          3.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล                                                                  
          3.3 การกำหนดประเด็นแนวคิดในโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
          3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล                                                                   
บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน
          4.1 ผลการดำเนินงาน
          4.2 การนำไปใช้
บทที่ 5 สรุปอภิปรายเสนอแนะ
          5.1 สรุปผลโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ                                                     
          5.2 อภิปรายผลโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ                                                
          5.3 ข้อเสนอแนะ                                                                            
ฉ. สารบัญตาราง
ช. สารบัญภาพประกอบ
บรรณานุกรม    
ภาคผนวก
หมายเหตุ

ประวัติผู้ทำโครงงานคอมพิวเตอร์
สต.นันทวัฒน์  บุญมา
อยู่บ้านเลขที่........ตำบล........อำเภอ..........จังหวัด...................                                            

















บทที่1
บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ที่มาและความสำคัญความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ   
ปัจจุบันคำว่าเทคโนโลยีสาระสนเทศหรือเรียกสั้นๆว่าไอที”( IT )นั้น มักนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง  เกือบทุกวงการล้วนเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศกันแทบทั้งสิ้น หรืออาจเรียกว่า โลกแห่งยุคไอทีนั้นเองในความเป็นจริงคำว่าเทคโนโลยีสาระสนเทศนั้นประกอบด้วยคำว่าเทคโนโลยีและคำว่า  สารสนเทศมารวมกันโดยแต่ละคำมีความหมายดังนี้
                เทคโนโลยี ( Technology ) คือการประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องการผลิต การสร้างวิธีการดำเนินงาน และรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้มีในตามธรรมชาติโลกแห่งเทคโนโลยียุคนี้ ทำให้มนุษย์ได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกจากเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันมากมายนับไม่ถ้วน
                 สารสรเทศ ( Information ) คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลข้อมูลดิบ (Rau data ) ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และนำมาผ่านกระบวนการประเมินผล ไม่ว่าจะเป็นการจัดกลุ่มข้อมูล การเรียงลำดับข้อมูล การคำนวณและสรุปผล จากนั้นก็นำมาเสนอในรูปแบบของรายงานที่เหมาะสมต่อการใช้งานที่ก่อเกิดประโยชน์การดำเนินชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านของชีวิตประจำวัน ข่าวสาร ความรู้ด้านวิชาการ  ธุรกิจ
                  เมื่อนำคำว่า เทคโนโลยี และ สารสนเทศ รวมเข้าไว้ด้วยกันแล้ว จึงสรุปความหมายโดยรวมได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information technology ) คือการประยุกต์ความรู้ทางด้านวิทยาสาสตร์มาจัดการสารสนเทศที่ต้องการ โดยอาศัยเครื่องมือทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์  เทคโนโลยีด้านเครือข่ายโทรคมนาคมและการสื่อสาร ตลอดจนอาศัยความรู้ในกระบวนการดำเนินงานสารสนเทศในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การแสวงหา การวิเคราะห์ การจัดเก็บ รวมถึงการจัดการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนสารสนเทศด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วทันต่อการนำมาใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง

                การแสวงหา การวิเคราะห์และการจัดเก็บข้อมูล จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและแม่นยำ ในทำนองเดียวกันเทคโนโลยีทางด้านเครือข่ายการสื่อสารและโทรคมนาคมสามาช่วยในการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนสารสนเทศทำได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น                 เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความหมายที่กว้างขวางมากนักศึกษาจะได้พบสิ่งรอบๆ ตัวที่เกี่ยวกับสารสนเทศอยู่มาก ดังนี้
                1. การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลเข้าสู่ระบบ นักเรียนอาจเห็นพนักงานการไฟฟ้าไปที่บ้านพร้อมเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเพื่อบันทึกข้อมูลการใช้ไฟฟ้า ในการสอบแข่งขันที่มีสอบจำนวนมาก ก็มีการใช้ดินสอระบายตามช่องที่เลือกตอบ เพื่อให้เครื่องอ่านเก็บรวบรวมข้อมูลได้ เมื่อไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าก็มีการใช้รหัสแท่ง
( Bar code )  พนักงานจะนำสินค้าผ่านการตรวจของเครื่องเพื่อข้อมูลการสินค้าที่บรรจุในรหัสแท่ง เมื่อไปที่ห้องสมุดก็พบว่าหนังสือมีรหัสแท่งเช่นเดียวกัน การใช้รหัสแท่งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บรวบรวม
                2. การประมวลผล ข้อมูลที่เก็บมาได้มักจะเก็บในสื่อต่างๆ เช่น ผ่านบันทึก แผ่นซีดีหรือเทป เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาประมวลผลตามต้องการ เช่น แยกแยะข้อมูลเป็นกลุ่ม เรียงลำดับข้อมูล คำนวณ หรือจัดการคัดแยกข้อมูลที่จัดเก็บเหล่านั้น
                3. การแสดงผลลัพธ์ อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีในการแสดงผลลัพธ์มีมาก สามารถแสดงเป็นตัวหนังสือ เป็นรูปภาพ ตลอดจนพิมพ์ออกมาที่กระดาษ การแสดงผลลัพธ์มีทั้งแสดงเป็นภาพ เป็นเสียง เป็นวีดีทัศน์ เป็นต้น
                4. การทำสำเนา เมื่อมีข้อมูลที่จัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ การทำสำเนาจะทำได้ง่ายและทำได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นอุปกรณ์ช่วยในการทำสำเนา จัดได้ว่าเป็นเทคโนโลยีสานสนเทศทีมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เรามีเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร อุปกรณ์การเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น จานบันทึก ซีดีรอม ซึ่งสามารถทำสำเนาได้เป็นจำนวนมาก
                5. การสื่อสารโทรคมนาคม เป็นวีการจัดส่งข้อมูลจากที่หนึ่ง หรือ กระจ่ายออกไปยังปลายทางครั้งละมากๆ ปัจจุบันมีอุปกรณ์ระบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภทตั้งแต้โทรเลข โทรศัพท์ เส้นใยนำแสง เคเบิลใต้น้ำ คลื่นวิทยุไมโครเวฟและดาวเทียม เป็นต้น

       
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ต่อทุกวงการทั่วโลก รวมทั้งวงการศึกษาไทยด้วย และผลพวงที่ติดตามมาในแง่เทคนิควิธีการเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้คือแนวโน้มในการเรียนรู้แบบโต้ตอบสองทาง (Interactive) ที่กำลังก้าวเข้ามาแทนที่กระบวนการเรียนรู้แบบเดิม ที่ผู้รับได้แต่ รับเอาโดยไม่อาจ เลือกแต่อย่างใด จากแนวคิดดังกล่าว ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างหันมาให้ความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนในทุกระดับ มีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ผู้เรียนรุ่นใหม่จะเป็นผู้เรียนที่มีความคิดรักการเรียนรู้ มีหลักในการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มีความรู้ทักษะที่จาเป็นในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองมากขึ้น จึงเป็นที่ยอมรับว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาประเทศการจัดการศึกษาจึงต้องมีการปรับตัวในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์ในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการจัดการเรียนการสอนนั้น ได้มีข้อกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ว่า รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งให้มีการพัฒนาบุคลากรด้านการผลิตและผู้ใช้ให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะตลอดจนผู้เรียนให้มีสิทธิที่จะได้รับการพัฒนาเพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตดังนั้นเพื่อให้เป็นบทเรียนที่เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบทีมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ และยังสามารถเป็นแนวทางในการสร้างบทเรียนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในเรื่องอื่นๆต่อไป
1.2 คำถามในโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญอย่างไรในยุคปัจจุบัน
          เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นที่ยอมรับในยุคปัจจุบันและเป็นยุคที่หน่วยงานต่าง ๆ เห็นความจำเป็นและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินงาน การบริหารงานและการตัดสินใจ ซึ่งในหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในวงการธุรกิจ อุตสาหกรรมและการศึกษา ต้องมีข้อมูลสารสนเทศที่ดีโดยมีกระบวนการจัดการผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ นับตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ การประมวลผล การเรียกใช้และการสื่อสารสารสนเทศ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนและการใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศไว้ ดังนี้
-ช่วยในการจัดระบบข่าวสารจำนวนมหาศาลของแต่ละวัน
-ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสารสนเทศ เช่น การคำนวณตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน การจัดเรียงลำดับสารสนเทศ ฯลฯ
-ช่วยให้สามารถเก็บสารสนเทศไว้ในรูปที่สามารถเรียกใช้ได้ทุกครั้งอย่างสะอาด
-ช่วยให้สามารถจัดระบบอัตโนมัติ เพื่อการจัดเก็บประมวลผลและเรียกใช้สารสนเทศ
-ช่วยในการเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-ช่วยในการสื่อสารระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดอุปสรรคเกี่ยวกับเวลาและ
ระยะทางโดยการใช้ระบบโทรศัพท์และอื่น ๆ
1. สารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อความสำเร็จของกิจกรรมหลายประเภทจำเป็นต้องมีวิธีการจัดการที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการจัดการทรัพยากรอื่น ๆ
2. เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อความสำเร็จของการดำเนินงานขององค์กรเป็นอย่างมาก จึงต้องมีวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการจัดทำระบบสารสนเทศและการใช้เทคโนโลยีเกี่ยวข้อง
3. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน
4. ผู้บริหารควรมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจะได้มีส่วนร่วมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้ได้ประโยชน์
5. ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีทางเลือกหลายทาง จำเป็นต้องมีการศึกษานโยบาย วัตถุประสงค์และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานและองค์การเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
6. เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันถือเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งขององค์กร ซึ่งมีผลกระทบต่อการจัดองค์กร
นอกจากความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่กล่าวมาข้างต้นแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2547:11-17) ได้กล่าวถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต่อการศึกษาไว้ว่า เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและรวดเร็วที่สุดในยุคนี้ คือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งเข้ามาเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกเกือบทุกอย่างและที่สำคัญคือ การสื่อสาร (Communication)  ซึ่งการบริหารในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง การบริหารจัดการและการตัดสินใจที่ดีคือการตัดสินใจอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้องเป็นปัจจุบันและเพียงพอซึ่งจะถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดน้อยที่สุด จึงจำเป็นที่จะต้องแสวงหาข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อการตัดสินใจในการพัฒนากระบวนการต่าง ๆ ของระบบสื่อสาร (Communication System) เพื่อให้ได้มาซึ่ง Information มากมายและมีประสิทธิภาพสูง กระบวนการให้ได้มาซึ่งสารสนเทศและการนำไปใช้ โดยอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ ( Information and Communications Technology : ICT ) นั่นเอง ดังนั้น คนในยุดใหม่ที่จะอยู่ในสังคมโลกเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างกลมกลืน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทักษะพื้นฐานที่เพียงพอในด้าน ICT การเริ่มต้นพัฒนาตนในเวลาที่เหมาะสม ควรจะเริ่มต้นในวัยเรียน โรงเรียนจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนให้มีทักษะพื้นฐานเพียงพอที่จะเรียนรู้พัฒนาความรู้และทักษะได้ด้วยตนเอง  ในการจัดการศึกษามุ่งหวังให้การจัดการศึกษาให้แก่นักเรียนที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีคุณสมบัติอย่างชัดเจน ดังนี้
1.เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้และมีทักษะกระบวนการเรียนรู้
2.เป็นผู้มีทักษะกระบวนการคิดหรือคิดเป็น คิดวิเคราะห์ สร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง
3.เป็นผู้มีทักษะการดำรงชีวิตในสังคมยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ
ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงมีบทบาทที่สำคัญในการจัดการศึกษา อาจแบ่งเป็น 2ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้
1.ด้านการบริหารจัดการ สามารถนำ ICT มาเป็นเครื่องมือช่วยการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบบริหาร เช่น
1.1   ทำงานได้เร็วขึ้น ลดเวลาทำงานให้น้อยลง
1.2   ทำงานได้งานเพิ่มขึ้น ใช้คนน้อยลง
1.3   คุณภาพงานดีขึ้น
2. ด้านการเรียนการสอน สามารถใช้ ICT เป็นเครื่องมือสำหรับครูและนักเรียน เช่น
2.1 สร้างสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ ของครู
2.2 ฝึกทักษะพื้นฐานให้แก่นักเรียนเพื่อให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาคอมพิวเตอร์ให้มีทักษะเพียงพอ
2.3 ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ เช่น ห้องทดลองเสมือนทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และภาษาต่างประเทศ เป็นต้น
2.4 ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้เสมือนห้องสมุดที่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ทั่วโลก เช่น องค์กรวิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ เป็นต้น
จากที่กล่าวมาจึงสรุปได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีความสำคัญต่อการจัดการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการศึกษาที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการปฏิรูปการบริหารจัดการ ที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปฏิรูปการเรียนรู้ ที่ต้องจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาปัญญา ไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อจำข้อมูล การจำมีความจำเป็นในส่วนที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ส่วนข้อมูลควรจะอยู่ในแหล่งเรียนรู้ใด ๆ และสามารถเรียกใช้ได้ทันท่วงทีเมื่อจำเป็น และสามารถแสวงหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทักษะทางด้าน ICT จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายขีดความสามารถในการเรียนรู้ต่อ                                 
1.3 วัตถุประสงค์ของโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
-  เพื่อการศึกษาเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร
-  เพื่อให้ผู้เรียนสามรถพัฒนารูปแบบการเรียนเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ด้วยตนเองและนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการเรียนรู้ของตัวเองมากขึ้น
-  เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ระหว่างครู เพื่อนและผู้สนใจทั่วไป
1.4 ขอบเขตของโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
-  จัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
-  วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือหรือโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่
- เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
- เว็บไซด์ที่ให้ข้อมูล คือ http://www.slideshare.net/escapeintheblackseason/ss-26503371
 - เว็บไซด์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เช่น www.facebook.com ,www.google.com
1.5 นิยามศัพท์
-เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT)
-เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technologies: ICTs)
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
- ได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีสารสรเทศ
- ผู้เรียนสามารถพัฒนารูปแบบของเทคโนโลยี สารสนเทศ ได้ด้วยตนเองและนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการเรียนรู้ของตนเองมากยิ่งขึ้น
- สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ระหว่างอาจารย์เพื่อนและผู้สนใจทั่วไป           
- นำเอาเทคโนโลยีสานสนเทศยุคใหม่มาใช้อย่างมีคุณค่า และสร้างสรรค์
1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น
- นักศึกษาทุกคนสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงงานใน www.bloger.com พร้อมติชมด้วยความจริงใจ
- การทำโครงงานในครั้งนี้ถือว่า ความแตกต่างในเรื่องเพศ อายุ เชื้อชาติ ฐานะทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอาชีพของบิดามารดาไม่มีผลกระทบต่อการเรียน
บทที่ 2
การทบทวนวรรณกรรม
2.1 แนวคิดต่างๆ ที่ผู้ทำโครงงานคอมพิวเตอร์เลือกเลือกในโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจครั้งนี้
-แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้
-แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
-การทบทวนวรรณกรรม (งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง)
1.แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้
          1.1 ทฤษฎีองค์กรฐานสารสนเทศ (Information Based Organization)
              ณพศิษฏ์  จักรพิทักษ์ (2552) อธิบายว่า ความรู้ หมายถึง ประสบการณ์จริง ที่เกิดจรากการเห็นจริงได้ลงมือปฏิบัติทำจริง หรืออาจหมายถึงประสบการณ์ที่ทำให้สามารถทำงานได้สำเร็จ (Effectiveness) ความรู้ในความหมายทางวิทยาการคอมพิวเตอร์หมายถึง กฎในการทำงาน หรือ ถ้า-แล้ว (If-Then) ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ สาเหตุ หรือ เหตุการณ์ และผลสะท้อน หรือผลลัพธ์ (Effect or Result) ความรู้อาจหมายถึงสารสนเทสที่ใช้ในการทำงาน (Information for Action) จำเป็นในการตรวจสอบหรือพิจารณาเพื่อให้งานได้ผล หรือความเสี่ยงต่ำ ความรู้ว่าข้อมูลสารสนเทศอะไรที่จำเป็นที่ต้องใช้ประกอบการทำงาน แก้ปัญหา หรือตัดสินใจ ซึ่งเกิดจากประสบการณ์การทำงานจริงและได้ผล ซึ่งคนที่ไม่มีประสบการณ์จริงจะไม่ทราบข้อมูล หรือสารสนเทศใดที่สำคัญในการทงาน ดังนั้น ในการทำงานใด ๆ นอกหนือจากได้รับประสบการณ์การทำงานให้สำเร็จแล้ว คนที่มีความรู้ประสบการณ์จะมีความรู้ในการใช้สารสเทศต่าง ๆ สำหรับประกอบการทำงาน ตัดสินใจ และแก้ปัญหา
              การจัดการความรู้ หมายถึง การบริหารจัดการองค์กรโดยเน้นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของคนทำงาน รวมทั้งสารสนเทศที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตแก่องค์กรให้สามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อการดำรงอยู่ขององค์กร และชีวิตและครอบครัวของพนักงานร่วมกัน
1.2การจัดการความรู้ในองค์กร
              ณพศิษฏ์  จักรพิทักษ์ (2552) อธิบายว่า องค์กร (Organization) หมายถึง การรวมกันของสมาชิกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน องค์กรก็หมายถึงคน หรือ พนักงานทุกคนที่เป็นสมาชิกขององค์กร ถ้าปราศจากสมาชิกเหล่านี้องค์กรก็มีสภาพเป็นแค่ทรัพย์สิน เช่น อาคาร เครื่องจักร หรือ สำนักงานเท่านั้น ที่ไม่สามารถดำเนินการหรือสร้างผลผลิตต่าง ๆ ได้ในที่นี้คนที่เป็นสมาชิกอาจรวมถึงผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในองค์กร ผู้บริหารมีบทบาทและความรับผิดชอบตั้งแต่การจัดหาทุนและบุคลากรเพื่อทำงานผลิตหรือบริการตลอดจนทำการตลาด การขาย การส่งมอบ การบริการก่อนและหลังการขาย ส่วนผู้ปฏิบัติหมายถึง ผู้ที่ทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ ทั้งด้านการผลิตหรือบริการรวมทั้งงานสนับสนุนผู้บริหารต่าง ๆ ข้างต้น
          ในสภาพการแข่งขันในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมีการแข่งขันทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศในระดับนานาชาติ ทำให้องค์กรจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ (Strategy) และวิธีการเอาชนะการแข่งขั้นทางธุรกิจในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) ภาพความสำเร็จขององค์กรที่มุ่งหวังและมีความเป็นไปได้สูง เพื่อระดมทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย (Stake Holders)
          การกำหนดพันธกิจ คือ วิธีการที่จะพัฒนาองค์กร หรือขั้นตอนการดำเนินงานใด ๆ ที่จะทำให้องค์กรบรรลุความมุ่งหวังตามวิสัยทัศน์ โดยต้องแสดงกลยุทธ์ (Strategy) แก่ผู้ถือหุ้น หรือ ผู้สนับสนุนองค์กรเพื่อระดมทุนในการจัดหาทรัพยากรต่าง ๆ รวมทั้งแสดงต่อลูกค้าเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และการบริการ ตลอดจนแสดงต่อพนักงานขององค์กรเองเพื่อให้มีความรู้สึกมั่นคงในชีวิตครอบครัว มีอนาคตที่ดี สามารถดำรงองค์กรอยู่ได้ในการแข่งขันทางธุรกิจและเศรษฐกิจ ดังนั้น สมาชิกขององค์กรทุก ๆ คนจำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจในการทำงานให้บรรลุความมุ่งหวังร่วมกัน
          ในการจัดการความรู้ ผู้บริหารองค์กรจะต้องมุ่งเน้นจัดการบุคลากรและสารสนเทศที่ใช้ในการทำงานต่าง ๆ โดยเฉพาะความรู้ในการทำงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Task Knowledge) ประสบการณ์และสร้างสนเทศในงานที่สำคัญ ๆ ในการแข่งขันหรือจำเป็นต่อความสำเร็จขององค์กรเพื่อพัฒนาผลผลิต คุณภาพงานบริหาร และจัดการความเสี่ยงให้สามารถแข่งขันทางธุรกิจกับคู่แข่งได้ และให้องค์กรบรรลุความมุ่งหวัง
          ในการแข่งขั้นทางธุรกิจขององค์กรเพื่อการอยู่รอดในเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) คือ ระบบเศรษฐกิจที่ขึ้นกับการสร้าง การกระจาย การใช้ความรู้ และการสร้างสารสนเทศ องค์กรจำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการวิจัยพัฒนา การศึกษาและการฝึกอบรม โครงสร้างหรือรูปแบบในการบริหารงานเพิ่มผลผลิต ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับบุคลากรโดยตรงทั้งสิ้น องค์กรต้องดำเนินการหรือพัฒนาต่อยอดประสบการณ์ของคนทำงานเพื่อสร้างความรู้ใหม่ในการประยุกต์ใช้งานวิธีการบริหารงานต่าง ๆ ให้เกิดการเพิ่มผลผลิต
          ทั้งนี้ องค์กรต้องการความสามารถใหม่ ๆ ในการบริหารจัดการอยู่เสมอเพื่อใช้ในการแข่งขันทางธุรกิจ เช่น สมรรถนะบุคลากร (Competency) การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness)  การเรียนรู้ (Learning) นวัตกรรม (Innovation) การพัฒนาภาวะผู้นำ (Leadership Development) การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ความเร็ว (Speed) การเน้นยุทธศาสตร์ (Strategic Focused) และการเน้นลูกค้า (Customer Focused) เป็นต้น
1.3 กระบวนการจัดการข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ขององค์กร
              ณพศิษฏ์  จักรพิทักษ์ (2552) อธิบายว่า กระบวนการพัฒนาและใช้ความรู้ในองค์กร อาจเริ่มจากการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน (Data Processing) โดยระบบสารสนเทศต่าง ๆ ภายในองค์กรจะประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในรูปตัวเลข และตัวอักษรให้เนสารสนเทศ (Information) เพื่อใช้ประกอบการทำงาน แก้ปัญหา และตัดสินใจร่วมกัน สำหรับผู้ปฏิบัติงานจะนำสารสนเทศไปกลี่นกรอง หรือลงรายละเอียดจริงโดยการนำไปใช้ในการทำงาน การแก้ไขปัญหา และการตัดสินใจจริง ทำให้เกิดเป็นความรู้ในเหตุผลกละผลในการทำงานหรือรวมทั้งรู้ว่าสารสนเทศอะไรที่จำเป็นในการทำงาน (Working Information) ที่จะทำให้เกิดประสิทธิผลในการทำงาน ดังนั้น ความรู้ คือ ความเชื่อมั่นในวิธีการทำงานให้สำเร็จขององค์กร ความรู้ต้องเกิดจากการได้ทำจริงในสิ่งที่เหมือนหรือใกล้เคียงและความรู้หรือผู้มีความรู้จะเป็นที่ยอมรับในสังคมองค์กร เป็นตัวเลือกหรือวิธีที่องค์กรยอมรับและเลือกใช้ไปทำงานก่อนเสมอ ผู้บริหารองค์กรมีหน้าที่สำคัญได้แก่
          1.พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ในงานของตนให้สามารถแข่งขันได้
          2.จัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเป็นเครื่องมือหรือเครื่องทุ่นแรงให้กับคนทำงานใช้ความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศ
          3.พัฒนาคนทำงานใช้ความรู้ให้มีความรู้ด้านการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิตให้แก่งานหรือส่วนงานที่ตนเองรับผิดชอบ ตัวอย่าเช่น วงจรการบริหารจัดการคุณภาพ(Total Quality management)
          4.ปรับปรุงการสื่อสารและการประสานงาน (Collaboration) ของบุคลากรในการเรียนรู้ แก้ปัญหา ตัดสินใจ หรือทำงานต่าง ๆ ร่วมกันให้มีประสิทธิผลสูง  
2. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
          การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ จำเป็นต้องอาศัยงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอุปกรณ์สูง ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่าย  ต้องมีผู้เชี่ยวชาญพร้อมผู้ปฏิบัติงานที่มีความสามารถ รวมทั้งการวางแผนการพัฒนาระบบและการนำวัสดุอุปกรณ์ไปใช้อย่างรอบคอบรัดกุม  จึงจะบรรลุผลตามเป้าหมาย  แม้เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีประโยชน์ แต่การนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ซอฟต์แวร์บางตัว กว่าจะเรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์ได้ครบถ้วน  อาจมีซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ออกจำหน่ายอีกแล้ว  การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศจึงต้องมีวิธีการที่เหมาะสม มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหากับหน่วยงานได้ 
3. การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
          สามารถจำแนกเป็นกลยุทธ์การจัดการที่สำคัญ 3 ด้าน คือ กลยุทธ์ระบบสารสนเทศ กลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และกลยุทธ์ระบบการจัดการสารสนเทศ ซึ่งกลยุทธ์ทั้ง 3 นี้ ต้องสัมพันธ์และสอดคล้องกับนโยบายกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ แผนงานขององค์การรวมทั้งวิธีการดำเนินงาน กล่าวคือ  ต้องการจัดทำระบบสารสนเทศอะไร ใครเป็นผู้ใช้ระบบ  ใช้ในงานลักษณะใด ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอะไรในการสร้างระบบจึงจะบรรลุผลสำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ และมีระบบการจัดการอะไรในการจัดสรรทรัพยากรควบคุมการใช้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
          3.1                  กลยุทธ์ระบบสารสนเทศ คือ การกำหนดระบบสารสนเทศที่ต้องการว่า ต้องการสร้างระบบสารสนเทศอะไร (what) และเพราะอะไร (why) เช่น  เป็นระบบสารสนเทศทั้งองค์การ หรือเป็นระบบระดับฝ่ายงานในองค์การ  ลักษณะและรูปแบบของสารสนเทศที่ต้องการคืออะไร  ซึ่งความต้องการสารสนเทศต้องสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ขององค์การ ซึ่งเป็นแผนงานองค์การที่กำหนดว่าหน่วยงานควรมีระบบสารสนเทศอะไรบ้างในช่วง 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า รวมทั้งแผนปฏิบัติการประจำปีเพื่อให้สนองเป้าหมายดังกล่าว  ระบบเหล่านี้มีโครงสร้างข้อมูล  ฐานข้อมูลอะไร และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
          การกำหนดความต้องการระบบสารสนเทศว่า องค์การต้องการระบบใด อาจใช้การวิเคราะห์ระบบสารสนเทศของทั้งองค์การ จำแนกตามหน้าที่การทำงาน กระบวนการทำงาน และข้อมูลที่ต้องใช้ หรืออาจใช้การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ โดยใช้วิธีวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
          3.2 กลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ เพื่อจัดทำหรือพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยพิจารณาว่า ระบบสารสนเทศที่ต้องการนั้นมีกิจกรรมหรือกระบวนการทำงานใด   ที่ต้องใช้เทคโนโลยี ใช้อุปกรณ์ เทคนิคอะไร จะทำได้อย่างไร (how)   เป็นต้นว่า ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์แบบใด จำนวนเท่าไร ซอฟต์แวร์อะไร อุปกรณ์สำหรับใช้บันทึก จัดเก็บข้อมูล และแสดงผลลัพธ์ ระบบจัดการฐานข้อมูล และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสื่อสารข้อมูลและครือข่ายคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในงานแต่ละงานที่เกี่ยวข้อง
          3.3กลยุทธ์ระบบการจัดการสารสนเทศ  คือ การบริหารจัดการเพื่อให้การจัดทำระบบสารสนเทศสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยพิจารณาว่า จะสามารถทำได้อย่างไร และทำอย่างไรจึงเกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นกลยุทธ์ระบบการจัดการสารสนเทศจึงเกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดการ 3 ประการ คือ 
1) ประเด็นปัญหาของการพัฒนาระบบสารสนเทศและ การทำแผนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ  
2) ประเด็นการจัดการทรัพยากรในการจัดการระบบสารสนเทศ ซึ่งได้แก่ การจัดองค์การเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดการทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรการเงิน และ
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
3) ประเด็นการควบคุมความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ
ภาพที่ 1  แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
พัฒนาการของระบบสารสนเทศ
          พัฒนาการของการประยุกต์คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ อาจจำแนกได้เป็น 4 ยุค
          1.   ยุคประมวลผลข้อมูล (Data Processing System : DPS) การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บบันทึกข้อมูล จัดเรียงข้อมูล คำนวณผลลัพธ์ พิมพ์ผลลัพธ์ เป็นต้น การที่องค์การต่าง ๆ นำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการประมวลผลแล้วทำให้งานต่าง ๆ รวดเร็วขึ้นมีสาเหตุจาก
          1.   คอมพิวเตอร์ทำงานคำนวณต่าง ๆ ได้รวดเร็ว
          2.   งานที่ใช้คอมพิวเตอร์มีความเป็นระบบและระเบียบมากขึ้นและยังช่วยลดขั้นตอนบางอย่างที่ใช้คนทำลงได้
          3.   งานมีความถูกต้องมากขึ้น ไม่ต้องย้อนกลับไปแก้ไข และทำซ้ำ ๆ
          4.   ข้อมูลต่าง ๆ ถูกจัดเก็บบนสื่อบันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์ทำให้การเรียกใช้และการค้นหามีความสะดวก รวดเร็วขึ้น
          2.   ยุคระบบสารสนเทศ และสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Information System & Management Information System :IS & MIS) ระบบประมวลผลข้อมูลนั้นเน้นที่การจัดเก็บบันทึกข้อมูลการจัดเอกสารและรายงาน แต่ช่วงแรก ๆ ยังไม่ได้มีการคำนึงเรื่องผู้ใช้ จึงมีการปรับปรุงระบบประมวลผลข้อมูลให้ได้รายงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น  เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริหารในระดับต่าง ๆ  ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ สามารถทำการประมวลผลข้อมูลและจัดทำรายงาน
ต่าง ๆ ได้ ดังนี้
          1.   รายงานสรุปผลการดำเนินงานในช่วงเวลาต่าง ๆ
          2.   รายงานแสดงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
          3.   รายงานที่แสดงแนวโน้มของการดำเนินการในด้านต่าง ๆ
          ระบบประมวลผลข้อมูล คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ ในด้านความรวดเร็ว ความถูกต้อง และการประหยัดค่าใช้จ่าย ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ การนำคอมพิวเตอร์มาผลิตสารสนเทศที่นำเสนอต่อผู้บริหาร เพื่อใช้ในการจัดการ การวางแผน และการควบคุม
          3.   ยุคสำนักงานอัตโนมัติ และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Office Automation & Decision Support System : OA & DSS) มีการนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้งานด้านต่าง ๆ เช่น การพิมพ์งาน การคำนวณ การจัดการ การควบคุม อุปกรณ์และดูแลการทำงานของเครื่องจักรในอุตสาหกรรม การบันเทิง การเก็บข้อมูล เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสะดวกขึ้น และยังประหยัดเวลาในการทำงาน ระบบสำนักงานอัตโนมัติเริ่มเป็นจริง และใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากความก้าวหน้าทางด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ดังนี้
          1.   เครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น
          2.   ความก้าวหน้าทางด้านซอฟต์แวร์ที่ประยุกต์ในการใช้งานด้านต่าง ๆ
          3.   ความก้าวหน้าในการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายระยะใกล้ ทำให้สามารถสื่อสารข้อมูลได้ไกล
          4.   ความก้าวหน้าทางสื่อบันทึกข้อมูลที่สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก
          4.   ยุคปัญญาประดิษฐ์ และระบบผู้เชี่ยวชาญ (Artificial Intelligence & Expert System : AI & ES) เป็นยุคของความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของมนุษย์ที่ได้พัฒนาทางด้านคอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากมีการขาดแคลนผู้ชำนาญการอย่างกว้าง จึงต้องมีการเก็บความรู้ความสามารถนั้น เป็นฐานข้อมูลความรู้ เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ต่อไปสาขาที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการประยุกต์ คอมพิวเตอร์ทางด้านธุรกิจ มีดังนี้
          1.   ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) การบันทึกข้อมูลความรู้ของผู้ชำนาญการไว้เป็นฐานข้อมูล
          2.   การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) เป็นความพยายามที่จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความเข้าใจภาษามนุษย์
          3.   การรับรู้รูปแบบ (Pattern Recognition) เป็นการทำให้คอมพิวเตอร์มีความรู้รูปแบบต่าง ๆ ได้คล้ายมนุษย์
          4.   ระบบหุ่นยนต์ (Robotic)เป็นความพยายามจัดทำระบบอัตโนมัติสำหรับใช้งานต่าง ๆ หรือในเครื่องมือต่าง ๆ ใช้กันมากในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
 ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศ สารสนเทศในองค์การประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
          1.   ข้อมูลนำเข้า (Input) ข้อมูลต่าง ๆ ที่นำเข้าสู่ระบบ เพื่อประมวลผลในระบบ
          2.   ส่วนกระบวนการ (Processing) ใช้ในการคำนวณ หรือประมวลผลงานต่าง ๆ โดยการแปรสภาพ ข้อมูล
          3.   รายงานที่ได้ (Output) เป็นผลลัพธ์หรือสิ่งที่ต้องการจากระบบซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของระบบ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ
          4.   ส่วนป้อนกลับ (Feedback) เป็นการนำเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของผลลัพธ์ย้อนกลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง
 ข้อมูล และสารสนเทศ
          ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติที่ใช้แทนตัวเลข ภาษา หรือสัญลักษณ์ มี 3 ประเภท
          1.   ข้อมูลจำนวน (Numeric Data) คือ ข้อมูลที่เป็นตัวเลข นำมาคำนวณได้
          2.   ข้อมูลอักขระ (Character Data) คือ ข้อมูลที่เป็นตัวอักษร และสัญลักษณ์ที่นำมาคำนวณไม่ได้
          3.   ข้อมูลภาพ (Image Data) คือ ข้อมูลที่ปรากฏต่อคอมพิวเตอร์เหมือนภาพถ่าย
สารสนเทศ (Information)คือ ข้อมูล หรือ ข้อเท็จจริงต่าง ๆที่ได้รับการประมวลผลแล้วด้วยวิธีการต่าง ๆ กัน นำมาใช้ประโยชน์ แหล่งข้อมูล มี 2 แหล่งข้อมูล
              1) แหล่งข้อมูลภายในองค์กร - เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์กร สามารถนำข้อมูลผลิตเป็นสารสนเทศ ที่ใช้ภายในองค์กรได้
              2) แหล่งข้อมูลภายนอกองค์กร - เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นภายนอกองค์กร นำมาผลิตเป็นสารสนเทศ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถกำหนดการปฏิบัติการ ข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลทั้งสองแหล่ง สามารถใช้ วิธีการรวบรวมได้ 2 รูปแบบ คือ
          1. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) ผู้ใช้จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเอง โดยวิธีการต่าง ๆ
          2. ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลที่ผู้อื่นได้รวบรวมเอาไว้แล้วและนำมา ใช้ประโยชน์
 คุณสมบัติของสารสนเทศ
          1.   ความถูกต้อง (Accuracy) สารสนเทศที่มีความถูกต้องมากเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นสารสนเทศ ที่มีคุณค่าสำหรับผู้บริหารมากเท่านั้น
          2.   ความทันต่อการใช้งาน (Timeliness) ความรวดเร็วในการทันต่อใช้งานของผู้ใช้ ที่พอจะทำ ได้จากข้อมูลปริมาณหนึ่ง
          3.   ความสมบูรณ์ (Completeness) ได้มาจากข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่รวบรวม เป็นหมวดหมู่
          4.   ความกะทัดรัด (Conciseness) มีความสะดวกในการใช้งานมีรูปแบบไม่เยิ่นเย่อ ได้ใจ ความสมบูรณ์
          5.   ตรงกับความต้องการ (Relevancy) เป็นสารสนเทศที่สื่อความหมายต่อผู้บริหารได้ตรง กับความต้องการของผู้บริหาร
          6.   ความละเอียดแม่นยำ (Reliability) เกิดจากการวัด ประมวลผล ได้ถูกต้องและความเชื่อถือได้สูง
          7.   คุณสมบัติเชิงปริมาณ (Quantifiable) สารสนเทศที่สามารถวัดได้ หรือแสดงออกมาในรูปของตัวเลข
          8. ความยอมรับได้ (Appropriateness) ระดับของความยอมรับได้ ในรูปแบบของรายงาน
          9.   การใช้ได้ง่าย (Accessible) สามารถนำไปใช้งานได้สะดวกและรวดเร็ว
          10.                  ความไม่ลำเอียง (Freedom from bias) สารสนเทศจะต้องไม่ปกปิดข้อมูลความจริง หรือทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด
          11.                  ความชัดเจน (Clarity) สารสนเทศจะต้องเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน ไม่คลุมเครือ 
ความสำคัญ และหน้าที่ของระบบสารสนเทศ
          1.   การจัดเก็บ การบันทึก และประมวลผลข้อมูล (Data Collection, Data Entry&Data Processing)
          2.   การจัดการฐานข้อมูล (Database Management)
          3.   การจัดทำรายงาน (Reporting)
          4.   การสอบถามข้อมูล (Inquiry)
          5.   การช่วยสนับสนุนในการตัดสินใจ (Decision Support)



2.2 ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
     งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
              จันทร์พร เสงี่ยมพักตร์ (2549)ได้ศึกษาการจัดการระบบสารสนเทศของสถานศึกษาในอำเภอเมืองเชียงใหม่  โดยผู้วิจัยมีความสนใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการระบบสารสนเทศของสถานศึกษาในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ประชากรที่ใช้คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 38 คน และผู้ปฏิบัติงานด้านระบบสารสนเทศของสถานศึกษา จำนวน 38 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ปีการศึกษา 2548 เครื่องมือเป็นแบบสอบถามที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้น นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้ความถี่และร้อยละผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าได้ปฏิบัติแทบทุกขั้นตอนของการจัดการระบบสารสนเทศ คือ ขั้นการรวบรวมข้อมูล ขั้นการตรวจสอบข้อมูล ขั้นการประมวลผลข้อมูล ขั้นการนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ และขั้นการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศ ส่วนปัญหาที่พบ คือ การจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นของข้อมูล การตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต งบประมาณในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลการนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศโดยใช้สไลด์ และการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศโดยใช้วีดีทัศน์บุคลากรมีจำกัด มีภาระงานมาก ขาดความรู้ความชำนาญ และไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรง
          เทวัญ  ทองพลับ (2548) ได้ศึกษาการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสำหรับงานบริหารคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานให้กับผู้ปฏิบัติงาน โดยการรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ในคณะบริหารธุรกิจ และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ฝ่ายงานต่างๆ จัดเก็บ แล้วนำมาวิเคราะห์โดยใช้แนวคิด วงจรการพัฒนาระบบ  พบว่า การจัดเก็บข้อมูลของคณะบริหารธุรกิจ ไม่เป็นระบบ ทำให้มีโอกาสสูญหายของข้อมูลได้ การค้นหาข้อมูลทำได้ยาก ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างงาน ผู้บริหารขาดข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจทำให้การดำเนินงานของคณะบริหารธุรกิจยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้นจึงได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการของคณะบริหารธุรกิจ  โดยใช้ภาษา PHP Version 4.2.3 เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบงานภายใต้ระบบการจัดการฐานข้อมูล MySQL โดยระบบที่พัฒนาขึ้นมาสามารถแสดงผลลัพธ์ได้ 2 รูปแบบ คือ การแสดงผลทางจอภาพและแสดงผลทางเครื่องพิมพ์  และจากการวิดคราะห์ระบบงานเดิม  แต่ละงานยังใช้ระบบจัการข้อมูลในรูปแบบเอกสาร มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพียงบางส่วน  เช่น งานบุคลากร งานด้านงบประมาณใช้โปรแกรมสำเร็จสำนักงานในการจัดเก็บข้อมูล ไม่มีระบบฐานข้อมูลรวมและขาดการเชื่อมโยงข้อมูล ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาเพื่อให้ระบบข้อมูลต่างๆ มีการเชื่อมโยงกัน สามารถค้นหาได้ง่าย และพัฒนาเป็นระบบสารสนเทศในองค์กรต่อไป  ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะใกนารพัฒนาระบบงานผู้ที่ควรจะมีบทบาทอย่างมากในการร่วมพัฒนา คือ ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ใช้ระบบ 
          จันทิรา  จันทร์เลิศ (2548) ได้ศึกษาการจัดการระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการประกันคุณภาพของสถานขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการจัดการระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการประกันคุณภาพของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 และเพื่อศึกษาการมีข้อมูลสารสนเทศที่มีความสัมพันธ์กับมาตราฐานการศึกษา และตัวบ่งชี้ ฉบับปรับปรุง 2547 พบว่า ยังไม่มีระบบสารสนเทศที่ใช้ในระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเนื่องจากการบริหารงานในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งการมีระบบสารสนเทศที่ดีจะช่วยให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่อให้ทุกหน่วยงานพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศที่เป็นระบบพร้อมที่จะนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน โดยใช้การออกแบบวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลสารสนเทศกับมาตรฐานการศึกษาและตัวบ่งชี้ ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2547 และนำเสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้อง และความถูกต้อง และความครอบคลุมด้านเนื้อหา ทั้งนี้เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เป็นแบบสอบถามจากกลุ่มประชากรที่เป็นข้าราชการประจำสถานศึกษาในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาเชีงใหม่ เขต 4 ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ได้รับการประเมินคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตราฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา : สมศ. ประจำปีการศึกษา 2547 จำนวน  52 โรงเรียน จากครูผู้รับผิดชอบงานสารสนเทศ จำนวน 52 คน และครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพการศึกษา จำนวน 52 คน ผลการวิเคราะห์ ทุกโรงเรียนมีการสร้างระบบข้อมูลสารสนเทศ ที่มีความถูกต้อง ครบถ้วน ตรงกับความต้องการใช้งาน และใช้สารสนเทศเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ  การกำหนดนโยบายและการวางแผนได้เป็นอย่างดี
2.3 กรอบแนวคิดที่ใช้ในโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
          ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศและอินเทอร์เน็ต ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น1. การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในด้านการค้นคว้าศึกษาแหล่งข้อมูล ทาให้การศึกษาง่ายขึ้นและ ไร้ขีดจากัด ผู้เรียนมีความสะดวกในการค้นคว้าวิจัย 2. การดารงชีวิตประจาวัน ทาให้มีความสะดวกคล่องตัวและรวดเร็วในการทากิจกรรมต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นใน ชีวิตประจาวัน สามารถทางานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันได้หรือทำงานใช้เวลาน้อยลง 3. การดาเนินธุรกิจ ทาให้มีการแข่งขันระหว่างธุรกิจมากขึ้น ทาให้ตองมีการพัฒนาองค์กรเพื่อให้ ทันกับข้อมูล ข่าวสารอยูตลอดเวลา อันส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง4. อัตราการขยายตัวทุก ๆ ด้านที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีการติดต่อสื่อสารที่เจริญก้าวหน้าทันสมัย รวดเร็ว ถูกต้องและทาให้เป็นโลกที่ไร้พรมแดน5. ระบบการทางานมีคอมพิวเตอร์ มาใช้ซึ่งสามารถทางานได้มากขึ้น งานบางอย่างมนุษย์ทาไม่ได้ก็ใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วยทางานแทนซึ่งได้ผลถูกต้องรวดเร็ว
2.2.เทคโนโลยี คืออะไร
          เทคโนโลยี (Technology) คือ การใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หลักการ เทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธี กระบวนการตลอดจน ผลงานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ่งประดิษฐ์และวิธีการ มาประยุกต์ใช้ในระบบงาน เพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่ง ขึ้นและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานให้มีมากยิ่งขึ้น
2.3.สารสนเทศหมายถึง
            สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
            เช่น สารสนเทศที่เป็น ความรู้ที่เกิดจากวิทยุ โทรศัพท์มือถือ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รอบตัวเราซึ่งอาจมาจาก วิทยุ โทรทัศน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ดาวเทียม โทรศัพท์ เครื่องจักร ที่เกี่ยวกับสารสนเทศได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ เช่น การฝาก ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียน ฯลฯ
3.  สื่อหรือช่องทางในการรับสาร  คือ ประสาทสัมผัสทั้งห้า  คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส และตัวกลางที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น ส่งพิมพ์ กราฟิก สื่ออิเล็กทรอนิกส์
4.  ผู้รับสาร   คือ ผู้ที่เป็นเป้าหมายของผู้ส่งสาร การสื่อสารจะมีประสิทธิภาพผู้รับสารจะต้องมีประสิทธิภาพในการรับรู้ มีเจตคติที่ดีต่อข้อมูลข่าวสารต่อผู้ส่งสารและต่อตนเองด้วย




บทที่3
วิธีดำเนินโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
3.1 การออกแบบโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
การพัฒนาโครงงานเป็นกิจกรรมที่มีกระบวนการย่อยหลายขั้นตอน ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ต้องใช้เวลาและต้องมีความอดทน มีการวางแผนอย่างเป็นระบบขั้นตอน ซึ่งจากการศึกษาขั้นตอนการทำโครงงานมีทั้งหมด 5 ขั้นตอน
1.การเลือกหัวข้อโครงงาน
หัวข้อโครงงานที่จะเลือกทำนั้นส่วนใหญ่มาจากความต้องการ หรือความสนใจในการเลือกปัญหาและแก้ไขปัญหาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หรืออื่นๆตามเจตนารมณ์ของผู้จัดทำ ผู้จัดทำพิจารณาจากความสนใจ การสังเกตสิ่งรอบตัว การศึกษาจากโครงงานที่มีผู้พัฒนามาก่อนแล้วเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาต่อ เมื่อเราได้หัวข้อมาแล้วก็ต้องกำหนดชื่อโครงงานให้สอดคล้องกับเนื้อหาโครงงาน ด้วยข้อความที่กระชับได้ใจความและน่าสนใจ
2.การศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงงาน
เมื่อเราได้หัวข้อของโครงงานมาแล้ว หลังจากนั้นต้องค้นหาความรู้ที่เกี่ยวข้องมาเพิ่มเติม แหล่งข้อมูลควรมาจากแหล่งที่หลายหลาย เช่น จากหนังสือ วารสาร ผู้เชี่ยวชาญ หรืออาจศึกษาจากโครงงานที่คล้ายๆกันที่มีคนทำมาก่อนแล้ว และในการสืบค้นแต่ละครั้งสิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องบอกที่มาของข้อมูล แหล่งอ้างอิงข้อมูลที่ถูกต้องให้ครบถ้วนเสมอ
3.การจัดทำข้อเสนอโครงงาน
การจัดทำข้อเสนอโครงงานเป็นการกำหนดแนวคิดต่างๆ และการวางแผนพัฒนาโครงงาน รวมถึงการทำตารางกำหนดการและระยะเวลาในการทำ เพื่อช่วยให้สามารถคาดการณ์ความเป็นไปได้ในการทำโครงงาน โดยที่ผู้จัดทำสามารถไปนำเสนอกับที่ปรึกษาหรือผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องให้ช่วยพิจารณางานให้
4.การจัดทำโครงงาน
การจัดทำโครงงานถือเป็นภาคปฏิบัติที่สำคัญ จึงต้องเตรียมพร้อมในทุกๆด้าน เตรียมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุที่ใช้ให้ครบถ้วน ควรคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมเสมอ ไม่ทำอะไรผิดกฎหมาย หลังจากนั้นจัดทำโครงงานตามตารางเวลาการทำงานอย่างเคร่งครัด ระหว่างทำต้องบันทึกผลตลอดเพื่อติดตามความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค วิธีแก้ไขและเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานตามเวลาที่กำหนด มีการตรวจสอบความถูกต้องตามแผนงานอย่างสม่ำเสมอ
5.การเขียนรายงานและการเผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์
การเขียนรายงานเป็นการจัดทำเอกสารรายละเอียดทั้งหมดในการพัฒนาโครงงานและคู่มือการใช้งาน เพื่อเผยแพร่ชิ้นงานลงในเว็บไซต์ www.google.com และใช้พัฒนาในครั้งต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการศึกษาหรืออยากทำโครงงานที่รูปแบบคล้ายกันก็สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ที่บันทึกไว้ การเขียนรายงานควรใช้ภาษาที่อ่านง่าย ชัดเจน กระชับ ตรงประเด็น สุภาพ และไม่กระทบทำให้ผู้อื่นเสียหาย
3.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล
   3.2.1 เก็บโดยใช้วิธีข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) คือ ข้อมูลที่เป็นตัวเลขของผู้ให้ความสนใจเข้าชม ศึกษาการสร้างเว็บบล็อกที่สร้างจากเว็บไซต์ Blogger จากเอกสารที่อาจารย์ประจำวิชากำหนด และจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่นำเสนอเทคนิค วิธีการสร้างเว็บบล็อก และวิธีการนำเสนอผลงาน
 3.3 การกำหนดประเด็นแนวคิดในโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
-แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้
-แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล
จำนวนผู้เข้าชมผลงานผ่านเว็บบล็อก ที่นำเสนอผ่านGoogle
         





บทที่4
ผลการศึกษา
ผลการศึกษาออกมาได้ดีทำให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าใจกับเทคโนโลยีสารสนเทศผลของการศึกษาคือดีแต่มีผลกระทบ 2 ด้านคือด้านบวกและด้านลบ เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีหลายด้าน
ผลกระทบด้านบวก
               1. การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น
               2. เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร
               3. สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน มหาวิทยาลัย การเรียนการสอนในโรงเรียน และ มหาวิทยาลัย มีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน ระดับ เกรด จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใน โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย มากขึ้น
               4. เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม   การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูลคุณภาพน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัดระยะไกลมาช่วย ที่เรียกว่า โทรมาตร เป็นต้น
               5. เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ   กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบป้องกันภัย ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทำงาน
               6.การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจำเป็น ต้องหาวิธีการ ในการผลิตให้ได้มาก ราคาถูกลง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการกับลูกค้า เพื่อให้ซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น
               7. เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป
ผลกระทบด้านลบ
               1. ก่อให้เกิดความเครียดในสังคมมากขึ้น เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เคยทำอะไรแบบใด มักจะชอบทำแบบนั้น ไม่ชอบการ เปลี่ยนแปลง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลง บุคคลที่รับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเกิดความวิตกกังวล จนกลาย เป็นความเครียด กลัวว่าคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศจะทำให้คนตกงาน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาทดแทนมนุษย์
               2. ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรม หรือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก ทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกด้านการแต่งกาย และการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป การมอมเมาเยาวชนในรูปของเกมส์อิเล็คทรอนิคส์ ส่งผลกระทบ ต่อการพัฒนาอารมณ์และจิตใจของเยาวชน เกิดการกลืนวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมนั้น
               3. ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป
               4. การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ในการสื่อสารและการทำงาน แต่ในอีกด้านหนึ่งการมีส่วนร่วมของกิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังสรรค์กันจะน้อยลง ผู้คนมักอยู่แต่ที่บ้านหรือที่ทำงานของตนเองมากขึ้น
               5. การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลโดยการเผยแพร่ข้อมูลหรือรูปภาพต่อสาธารณชนซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจไม่เป็นความจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้องออกสู่สาธารณะชน ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคลโดยไม่สามารถป้องกันตนเองได้ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเช่นนี้ ต้องมีกฎหมายออกมาคุ้มครองเพื่อให้นำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ในทางที่ถูกต้อง
               6. เกิดช่องว่างทางสังคม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับการลงทุน ผู้ใช้จึงเป็นชนชั้นในอีกระดับหนึ่งของสังคม ในขณะที่ชนชั้นระดับรองลงมามีจำนวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้และผู้ยากจนก็ไม่มีโอกาสรู้จักกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
               7. อาชญากรรมบนเครือข่าย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้น เช่น ปัญหาอาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมในรูปของการขโมยความลับ การขโมยข้อมูลสารสนเทศ การให้บริการสารสนเทศที่มีการหลอกลวง รวมถึงการบ่อนทำลายข้อมูลและไวรัส
               8. ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในการทำงาน การศึกษา บันเทิง ฯลฯ การจ้องมอง คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน มีผลเสียต่อสายตา ซึ่งทำให้สายตาผิดปกติ มีอาการแสบตา เวียนศรีษะ นอกจากนั้นยังมีผลต่อสุขภาพจิต เกิดโรคทางจิตประสาท 













บทที่5
สรุปผล  และข้อเสนอแนะเทคโนโลยีสารสนเทศ
5.1 สรุปผลโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
            ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกวงการ และเทคโนโลยีสารสนเทศกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำงานทุกด้าน นับตั้งแต่ทางด้านการศึกษา พาณิชยกรรม เกษตรกรรม อุตสาหกรรม สาธารณสุข การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนด้านการเมืองและราชการ อันที่จริงแล้วจะเห็นว่าไม่มีงานด้านใดที่ไม่มีผู้คิดประยุกต์หรือนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปช่วยให้การทำงานนั้น ๆ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
ข้อมูลกับสารสนเทศ
           ข้อมูล (Data) หมายถึง กลุ่มตัวอักขระที่เมื่อนำมารวมกันแล้วมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งและมีสำคัญควรค่าแก่การจัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในโอกาสต่อ ๆ ไป ข้อมูลมักเป็นข้อความที่อธิบายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถนำไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้ (ทักษิณา สวนานนท์ และฐานิศรา เกียรติบารมี 2546: 165)
           สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับการสรุป คำนวณ จัดเรียง หรือประมวลแล้วจากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ จนได้เป็นข้อความรู้ เพื่อนำมาเผยแพร่และใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี 2538: 3)
ข้อมูลและสารสนเทศนับว่ามีประโยชน์ต่อการนำไปใช้บริหารงานด้านต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น
          1. ด้านการวางแผน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับการจัดการองค์การ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการผลิตสินค้า การตลาด เป็นต้น
          2. ด้านการตัดสินใจ สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกแนวทางหรือทางเลือกที่มีปัญหาน้อยที่สุดในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การมีสารสนเทศที่สมบูรณ์ ทันสมัย และครบถ้วนจะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
         3. ด้านการดำเนินงาน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ใช้เพื่อควบคุมหรือติดตามผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์การ

ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ
          เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technologies: ICTs) ก็คือ เทคโนโลยีสองด้านหลัก ๆ ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่ผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้าง และเผยแพร่สารสนเทศในรูปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ภาพ ภาพเคลื่อนไหวข้อความหรือตัวอักษร และตัวเลข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่นยำ และความรวดเร็วให้ทันต่อการนำไปใช้ประโยชน์
ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มี 5 ประการ (Souter 1999: 409) ได้แก่
          ประการแรก การสื่อสารถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ สิ่งสำคัญที่มีส่วนในการพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ประกอบด้วย Communications media, การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecoms), และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) 
          ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่มากไปกว่าโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ เช่น แฟกซ์, อินเทอร์เน็ต, อีเมล์ ทำให้สารสนเทศเผยแพร่หรือกระจายออกไปในที่ต่าง ๆ ได้สะดวก
          ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีผลให้การใช้งานด้านต่าง ๆ มีราคาถูกลง
          ประการที่สี่ เครือข่ายสื่อสาร (Communication networks) ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายภายนอก เนื่องจากจำนวนการใช้เครือข่าย จำนวนผู้เชื่อมต่อ และจำนวนผู้ที่มีศักยภาพในการเข้าเชื่อมต่อกับเครือข่ายนับวันจะเพิ่มสูงขึ้น
          ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และต้นทุนการใช้ICT มีราคาถูกลงมาก
องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
          ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวได้ว่าประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสองสาขาหลักคือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม สำหรับรายละเอียดพอสังเขปของแต่ละเทคโนโลยีมีดังต่อไปนี้คือ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
          คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ และปฏิบัติตามคำสั่งที่บอก เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้ คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4)
ฮาร์ดแวร์
          ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รอบข้าง เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดตรวจ รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ
อุปกรณ์รับข้อมูล (Input)
          เช่น แผงแป้นอักขระ (Keyboard), เมาส์, เครื่องตรวจกวาดภาพ(Scanner),จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip Reader), และเครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader)
อุปกรณ์ส่งข้อมูล (Output)
          เช่น จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และเทอร์มินัลหน่วยประมวลผลกลาง จะทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลักในขณะคำนวณหรือประมวลผล โดยปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคำสั่งที่เก็บไว้ไว้ในหน่วยความจำหลักมาประมวลผล
หน่วยความจำหลัก
          มีหน้าที่เก็บข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์รับข้อมูลเพื่อใช้ในการคำนวณ และผลลัพธ์ของการคำนวณก่อนที่จะส่งไปยังอุปกรณ์ส่งข้อมูล รวมทั้งการเก็บคำสั่งขณะกำลังประมวลผล หน่วยความจำสำรอง ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมขณะยังไม่ได้ใช้งาน เพื่อการใช้ในอนาคต
ซอฟต์แวร์
        ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สองซึ่งก็คือ ลำดับขั้นตอนของ ชุดคำสั่งที่สั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ ควบคุมระบบงานซอฟต์แวร์สำเร็จ ทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับบุคคลเป็นไปอย่างกว้างขวางและส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากขึ้น ส่วนงานในระดับองค์กรส่วนใหญ่มักจะมีการพัฒนาระบบตามความต้องการ โดยการว่าจ้างบริษัทที่รับพัฒนาซอฟต์แวร์หรือโดยนักคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร เป็นต้น
ลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ดังนี้
          ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในระบบสื่อสาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมีลักษณะของสัญญาณเป็นคลื่นแบบต่อเนื่องที่เราเรียกว่า "สัญญาณอนาลอก" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่างไป เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่ำสลับกัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง เรียกว่า "สัญญาณดิจิตอล" ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะส่งผ่านสายโทรศัพท์ เมื่อเราต้องการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่น ๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยแปลงสัญญาณเสมอ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "โมเด็ม" (Modem)
5.2 อภิปรายผลโครงงานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
การเผยแพร่ผลงานด้วยgoogle ผู้จัดทำได้เริ่มดำเนินงานตามขั้นตอนการดำเนินงานที่เสนอในบทที่ 3 แล้ว แล้วได้สมัครเป็นสมาชิกเว็บบล็อกที่ชื่อhttps://plus.google.com/u/0/collections/yours
ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
                สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไว้หลายประการดังต่อไปนี้ (จอห์น ไนซ์บิตต์ อ้างถึงใน ยืน ภู่วรวรรณ)
ประการที่หนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ
ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทำให้เกิดสังคมโลกาภิวัฒน์
ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย การดำเนินธุรกิจมีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว
ประการที่สี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบ สุนทรีย์สัมผัส และสามารถตอบสนองตามความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ที่เลือกได้เอง
ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานที่และทุกเวลา
ประการที่หก เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิถีการตัดสินใจ หรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น
กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทที่สำคัญในทุกวงการ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัยและการพัฒนาต่าง ๆ
5.3 ข้อเสนอแนะ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
              จากงานวิจัยของ Whittaker (1999: 23) พบว่า ปัจจัยของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การ มีสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่
               1. การขาดการวางแผนที่ดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ยิ่งองค์การมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการความเสี่ยงย่อมจะมีความสำคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้เพิ่มสูงขึ้น
               2. การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดำเนินอยู่ หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับความต้องการขององค์การแล้วจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
               3. การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานในองค์กร หากขาดซึ่งความสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงแล้วก็ถือว่าล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น การได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารระดับสูงเป็นก้าวย่างที่สำคัญและจำเป็นที่จะทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การประสบความสำเร็จ
              สำหรับสาเหตุของความล้มเหลวอื่น ๆ ที่พบจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น ใช้เวลาในการดำเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหรือยังไม่ผ่านการพิสูจน์มาใช้งาน (New or unproven technology), ประเมินแผนความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่ถูกต้อง, ผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซื้อมาใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบ และระยะเวลาของการพัฒนาหรือนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จนเสร็จสมบูรณ์ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งปี
              นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสำเร็จในด้านผู้ใช้งานนั้น อาจสรุปได้ดังนี้ คือ
              1. ความกลัวการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ผู้คนกลัวที่จะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งกลัวว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสำคัญในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบของตนให้ลดน้อยลงจนทำให้ต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
              2. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก หากไม่มั่นติดตามอย่างสม่ำเสมอแล้วจะทำให้กลายเป็นคนล้าหลังและตกขอบ จนเกิดสภาวะชะงักงันในการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
              3. โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทั่วถึง ทำให้ขาดความเสมอภาคในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกิดการใช้กระจุกตัวเพียงบางพื้นที่ ทำให้เป็นอุปสรรคในการใช้งานด้านต่าง ๆ ตามมา เช่น ระบบโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ฯลฯ
บรรณานุกรม

ความคิดเห็น